พิชิตปวดด้วย
ขยับข้อต่อ
ขั้นสูง-เทคนิคเฉพาะทาง
กายภาพบำบัดจากเซ้าท์ ออสเตรเลีย
อาจารย์จุฬามากประสบการณ์
*สื่อต่างสนใจเข้าขอสัมภาษณ์*
Meet our Manipulative Physiotherapists
All news and issues about our treatment, technique,
clinic activities and beneficial informations for society.
รวมภาพและสาระความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับกายภาพบำบัดเฉพาะทางที่เป็นประโยชน์
โดยมุ่งพิชิตภารกิจเพื่อหยุดอาการ ปวด ชา เจ็บ
ด้วยสามารถจัดการปัญหาระบบข้อต่อ กล้ามเนื้อและประสาท
ท่ามกลางภาวะการแข่งขันของสังคมในยุคปัจจุบัน ทุกคนต่างพากันทำงานตามภาระหน้าที่ จนบางครั้งอาจลืมนึกถึงสุขภาพของตัวเอง จะมารู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อเริ่มมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย
โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และต้องนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ และไม่ค่อยเปลี่ยนอิริยาบถ
พฤติกรรมดังกล่าวเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
โดยพบว่าส่วนใหญ่จะมีอาการปวดต้นคอและปวดบ่าถึง 99 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งอาการดังกล่าวนี้เราเรียกว่าโรค “ออฟฟิศซินโดรม” (Office Syndrome)
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาการปวดจะทวีความรุนแรงขึ้น
จนรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน กระทั่งถึงขั้นทำงานไม่ได้
ผศ.ดร.อดิษฐ์ จิรเดชนันท์ อาจารย์นักกายภาพบำบัด คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
อาจารย์ประจำภาควิชากายภาพบำบัด แขนงระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กล่าวว่า ทางเลือกในการรักษาผู้ที่ประสบปัญหาอาการปวดในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
เช่น ปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดเข่า ฯลฯ มีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
วิธีแรก คือ “การรับประทานยาบรรเทาอาการปวด” และวิธีที่สองคือ “การรักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด”
แต่ปัจจุบันคนไข้หันมารักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัดกันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นแผลในระบบทางเดินอาหารทำให้ตับ
และไตต้องทำงานหนัก เป็นต้น
ซึ่งวิธีทางกายภาพบำบัดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพ พ.ศ.2547 บอกว่าเป็นวิธีการตรวจเช็ค ประเมิน และวิเคราะห์การเคลื่อนไหวร่างกายของผู้ป่วย หากพบความผิดปกติหรืออาการเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวสามารถรักษาได้ด้วยวิธีทางกายภาพบำบัดและการรักษาด้วยวิธีนี้
จะไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาซึ่งคนไทยเองรู้จักการทำกายภาพบำบัดมานานแล้ว สังเกตได้จากภูมิปัญญาไทยในเรื่องการใช้ลูกประคบ การใช้ความร้อนหรือความเย็นเข้าช่วย นั่นก็คือการทำกายภาพบำบัดอย่างหนึ่ง แต่สำหรับหลักสูตรที่เปิดสอนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ ซึ่งจะใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ และระบบประสาท
ด้วยวิธีการปรับท่าทางของร่างกาย โดยการขยับกระดูกและข้อต่อ รวมทั้งการออกกำลังกายเฉพาะส่วนที่เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละระดับควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางกายภาพบำบัด
- สำหรับหลักในการรักษาด้วยวิธีนี้มีอยู่ 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ “ขั้นตอนการประเมิน”
โดยจะทำการซักประวัติของผู้มารับการรักษาว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือมีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง
ถามถึงลักษณะและที่มาของอาการที่รบกวนชีวิตประจำวัน รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของอาการในแต่ละวัน
จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะทำการประเมินอาการ โดยใช้ความรู้ทางด้านกายวิภาคศาสตร์และกลศาสตร์การเคลื่อนไหว
เข้ามาอธิบายวิเคราะห์อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น รวมทั้งใช้วิธีการขยับข้อต่อเพื่อตรวจเช็คการเคลื่อนไหว
ซึ่งจะทำให้รู้ว่าข้อต่อมีความผิดปกติอย่างไร เช่น มีอาการเจ็บปวดเวลาขยับข้อต่อ
ซึ่งนักกายภาพบำบัดจะวิเคราะห์หาเทคนิคที่ถูกต้องและเหมาะสมในการรักษา - ส่วนขั้นตอนที่ 2 เป็น “การรักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด”
ซึ่งขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับนักกายภาพบำบัดว่ามีความชำนาญมากน้อยแค่ไหน และจะมีการออกแบบการรักษาด้วยวิธีใด เช่น การดึงยืดต้นคอ การยืดหลัง การแนะนำการบริหาร หรือการเพิ่ม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งการจะ ใช้วิธีใดในการรักษาบำบัดนั้นอยู่ที่การวิเคราะห์อาการของคนไข้เป็นสำคัญ เช่น นักกีฬาเทนนิสมาทำการรักษาก็ต้องทราบว่าเวลาเล่นเทนนิสใช้ ลักษณะท่าทางการยืนหรือการตีลูกเทนนิสอย่างไร โดยจะให้คนไข้เคลื่อนไหวให้ดู หากเกิดความเจ็บปวดในบริเวณใด จึงค่อยนำเอาวิธีการ เคลื่อนไหวนั้นมาวิเคราะห์ว่า มีการใช้กล้ามเนื้อมัดใดหรือใช้ข้อต่อส่วนไหนในการเคลื่อนไหว
จากนั้นจะใช้การสอบถามอาการและผลการตรวจ ร่างกายเข้าไปสนับสนุนหรือหักล้างสมมุติฐาน
ที่ได้ตั้งเอาไว้จะได้รู้ว่าจุดใดที่เกิดความผิดปกติขึ้น ถ้าเป็นกล้ามเนื้อจะดูว่ากล้ามเนื้อบริเวณนั้นมีการอักเสบหรือไม่
ด้วยการออกแรงต้านการทำงานของกล้ามเนื้อมัดนั้น โดยเปรียบเทียบกับข้างที่เป็นปกติ ถ้าเป็นที่ข้อต่อนักกายภาพบำบัดก็จะต้องประเมินได้ว่า ข้อต่อมีความตึงตัวเป็นอย่างไร โดยการเปรียบเทียบข้อต่อข้างที่มีปัญหากับข้างที่ดีเช่นเดียวกับการตรวจกล้ามเนื้อว่า
มีการเคลื่อนไหวที่เหมือนกันหรือไม่ แต่ในกรณีกระดูกสันหลังซึ่งเป็นข้อต่อ ในเชิงเดียวกันจะอาศัยข้อตรงกลางและ
ข้อด้านข้างเทียบการเคลื่อนไหวในระดับ บนและล่างว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และการเคลื่อนไหวนั้นทำให้เกิดปัญหา
อย่างที่คนไข้บอกหรือเปล่าจากนั้นจึงเลือกเทคนิคต่างๆในการรักษา ด้วยการขยับข้อต่อ
การรักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด โดยเทคนิคการขยับข้อต่อเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ
ซึ่งต้นกำเนิดของกายภาพบำบัดด้วยวิธีนี้อยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
และเป็นเทคนิคที่ได้นำมาเปิดสอนในระดับปริญญาโท ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชากายภาพบำบัด แขนงกระดูก และกล้ามเนื้อ)
โดยได้เปิดสอนมาประมาณ 15 ปีแล้ว โดยรับนิสิตรุ่นละ 5 คนใช้เวลาเรียนตามหลักสูตรคือ 1 ปีครึ่ง แต่ปัจจุบันที่มีนิสิตเรียนจบไม่ถึง 10 คน เนื่องจากเป็นคอร์สเวิร์คที่เน้นการปฏิบัติและการทำวิจัยควบคู่กันไป และจะเน้นการวิจัยทางคลินิกเป็นหลัก
เมื่อนิสิตเรียนจบจะได้เป็นมหาบัณฑิต ด้านกายภาพบำบัดที่มีความสามารถในการประเมินและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวได้
โดยละเอียดและสามารถใช้เทคนิคการขยับข้อต่อในการตรวจประเมินและรักษาได้อย่างถูกต้องตามหลักการและการ
รักษาด้วยวิธีนี้ส่วนใหญ่จะสามารถเห็นผลได้ทันที โดยเฉพาะเรื่องการลดอาการเจ็บปวด นั่นเป็นเพราะการขยับข้อต่อทำให้เกิดการ
กระตุ้นเส้นประสาท กระแสประสาทจะถูกส่งขึ้นไปยังสมอง สมองก็จะกระตุ้นสารสื่อประสาทต่างๆ ลงมายับยั้งความเจ็บปวด
ในบริเวณที่ถูกกระตุ้น ส่วนในด้านการเคลื่อนไหวการขยับข้อต่อจะช่วยให้เกิดการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยง ในผู้ที่มีอาการ
เมื่อยและล้าก็จะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาในทันที
แต่สำหรับคนไข้ที่มีอาการเจ็บปวดเรื้อรังมานานกว่า 5 ปี ผลที่ได้อาจไม่เห็นชัดในทันที
แต่จะดีขึ้นในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป
ซึ่งอยู่ที่ความเรื้อรังของอาการและความร่วมมือของคนไข้
โดยควรบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนร่วมด้วยจะช่วยให้ผลที่ดีขึ้น
อาจารย์นักกายภาพบำบัด ยังแนะนำต่ออีกว่า
ผู้ที่รักษาด้วยวิธีการรับประทานยามาก่อน แล้วหันมารักษาด้วยวิธีการขยับข้อต่อยังไม่ควรหยุดยาในทันที เพราะหากหยุดรับประทานยาแล้วคนไข้มีอาการแย่ลงจะบอกได้ยากว่าอาการที่แย่ลงเกิดจากการหยุดรับประทานยาหรือเกิดจากการขยับข้อต่อ ซึ่งคนไข้ต้องพิจารณาอาการของตัวเองด้วยว่ารับประทานยาแล้วอาการดีขึ้นหรือไม่
ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องมองหาทางเลือกอื่น
โดยต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่ามีวิธีอื่นใดช่วยได้อีกบ้างนอกจากการผ่าตัด แต่ในฐานะที่เป็นนักกายภาพบำบัดขอแนะนำว่า
วิธีแรกที่ควรเลือกเพื่อการรักษาคือการทำกายภาพบำบัด เพราะการทำกายภาพบำบัดจะเข้าไปช่วยกระตุ้น
ให้กระบวนการซ่อมแซมดำเนินไปได้เร็วขึ้น
และไม่มีผลข้างเคียงอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีรับประทานยาแล้ว
การทำกายภาพบำบัดด้วยวิธีการขยับข้อต่อจะเห็นผลได้เร็วกว่าและช่วยย่นระยะเวลารักษาให้เร็วขึ้น
ทำให้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ และกลับไปทำงานได้อย่างมีความสุข
หากใครที่มีอาการปวดในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ปวดหัว ปวดคอ ปวดไหล่ หรือปวดตามแนวเส้นประสาทบริเวณแขนขา ฯลฯ
และมีปัจจัยอื่นๆร่วม เช่น การนั่ง ยืนในท่าเดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือปวดเพราะการใช้งานอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งที่หนักเกินไป
ควรรีบปรึกษานักกายภาพบำบัด เพื่อตรวจประเมินอาการและรับการรักษาทางกายภาพบำบัดที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อไป
ผศ.ดร.อดิษฐ์ กล่าว
โดยสามารถปรึกษา ที่คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
ทางโทรศัพท์ได้ที่เบอร์
086 336 4823
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง [ วันพฤหัสบดี ที่ 6 เดือน สิงหาคม 2552 ]
ปวดคอ ไหล่ หลัง
โรคประจำสังคมออฟฟิศ
ในงาน “คืนชีวิตชีวา ผ่อนคลายตามสไตล์โมเดิร์นเวิร์คเกอร์” ที่โรงแรมแพน แปซิฟิก
ได้เชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเรื่องการปวดตึงกล้ามเนื้อ พร้อมด้วยหนุ่มสาว
คนทำงานรุ่นใหม่ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับ ผลงานการวิจัย และเรื่องภัยสุขภาพที่ระบาด
อยู่ในหมู่คนทำงานยุคดิจิตอล
ดร.ณัฐชา เพชรดากูล นักวิจัยและที่ปรึกษา
สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า
จากผลการสำรวจงานวิจัยเรื่องสุขภาพของพนักงานออฟฟิศ และผู้ประกอบวิชาชีพ
เช่น เสมียน นักบัญชี นักวิชาการ สถาปนิก ที่มีอายุระหว่าง 25-49 ปี
พบว่าร้อยละ 99.8 มีปัญหาเรื่องสุขภาพ คือ ปวดคอ ไหล่ และหลัง ซึ่งสาเหตุที่สำคัญเกิดจากความเครียด
ลักษณะของงานที่ทำการนั่ง โต๊ะทำงานหรืออยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ นานเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน
อยู่ในอิริยาบถเดิมๆ นานเกิน 6 ชั้วโมงต่อวัน
และการจัดวางอุปกรณ์สำนักงาน เช่น คอมพิวเตอร์ ไม่ถูกสุขลักษณะ
ในบางคนมีอาการปวดเมื่อยสัปดาห์ละครั้ง ไปจนถึงปวดทุกวัน
ผศ.ดร.อดิษฐ์ จิรเดชนันท์
——————————-
อาจารย์กายภาพบำบัดจุฬา
นักกายภาพบำบัดอาวุโส คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
ให้คำแนะนำว่าพนักงานออฟฟิศและผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ
** ไม่ควรใช้เวลานั่งทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน
** ควรเคลื่อนไหวร่างกายและเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆ 15 – 20 นาที
** ไม่ควรนั่งหลังค่อม ลำคอยื่น เพ่งจอคอมพิวเตอร์ เพราะจะทำให้
กระดูก/ข้อต่อยื่นไปข้างหน้ามาก ทำให้ปวดเมื่อยที่คอ ปวดบ่า
และปวดกระบอกลูกตา บางคนอาจรู้สึกเจ็บร้าวกระจายไปถึงแขน
ควรปรึกษานักกายภาพบำบัดโดยตรงเพื่อรักษาให้ถูกวิธี
tips “ การจัดวางอุปกรณ์ที่ถูกสุขลักษณะ คอมพิวเตอร์ ควรจัดให้จอบนอยู่ในระดับสายตา ตำแหน่งการวางคีย์บอร์ด
แขนท่อนล่างควรทำมุมเก้าสิบองศากับท่อนแขนบน เก้าอี้ทำงานควรมีพนักพิง หาเก้าอี้ตัวเล็กๆ สักตัว
สำหรับวางเท้าใต้โต๊ะ และควรเลือกใช้หมอนแน่นกระชับ ไม่ยุบตัว
เวลานอนไม่ควรใช้หมอนซ้อนกัน 2 ใบ”
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
การขยับข้อต่อเพื่อรักษาอาการปวดคอ บ่า หลัง ไหล่
แต่ละวันใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมง ส่งผลกระทบให้ปวดกล้ามเนื้อไหล่ คอ
ช่วงแรกเป็นการเข้าใจผิดคิดว่านอนตกหมอน แล้วจึงรู้ว่าสาเหตุมาจากการทำงาน
ดร.กภ.อดิษฐ์ จิรเดชนันท์
อาจารย์กายภาพบำบัดจุฬา
นักกายภาพบำบัดอาวุโส คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
ให้คำแนะนำว่าพนักงานออฟฟิศและผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ
1.ไม่ควรใช้เวลานั่งทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน
2. ควรเคลื่อนไหวร่างกายและเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆ 15-20 นาที
3. ไม่ควรนั่งหลังค่อม ลำคอยื่น เพ่งจอคอมพิวเตอร์ เพราะจะทำให้ กระดูก/ข้อต่อ ยื่นไปข้างหน้ามาก ทำให้ปวดเมื่อยที่คอ ปวดบ่า และปวดกระบอกลูกตา บางคนอาจรู้สึกเจ็บร้าวกระจายไปถึงแขน
ควรปรึกษานักกายภาพบำบัดโดยตรงเพื่อรักษาให้ถูกวิธี
“การจัดวางอุปกรณ์ที่ถูกสุขลักษณะ คอมพิวเตอร์ ควรจัดให้จอบนอยู่ในระดับสายตา
ตำแหน่งการวางคีย์บอร์ดแขนท่อนล่างควรทำมุมเก้าสิบองศากับท่อนแขนบน เก้าอี้
ทำงานควรมีพนักพิง หาเก้าอี้ตัวเล็กๆ สักตัว สำหรับวางเท้าใต้โต๊ะ และควรเลือกใช้
หมอนแน่นกระชับ ไม่ยุบตัว เวลานอนไม่ควรใช้หมอนซ้อนกัน 2 ใบ”
นักกายภาพบำบัดอาวุโส คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
รักษาโดยใช้เทคนิคเฉพาะทางของออสเตรเลีย
ร่วมกับเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ทันสมัย แก้ปัญหาตรงจุด
สัมภาษณ์สดออกอากาศทาง รายการSoเชี่ยว Chula
ย้ำ“กดขยับ รักษาอาการปวด
ปลอดภัย….หายห่วง”
เทคนิคอื่นไม่รู้ แต่กดขยับข้อต่อของกายภาพบำบัดศาลาแดง ทำเป็นจังหวะและด้วยแรงที่พอเหมาะโดยมีงานวิจัย/ บทความนานาชาติ เกี่ยวกับการกดขยับ ระดับความแรงที่ใช้ แรงต้านจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อ(pain resistance) การประเมินการเคลื่อนไหวมาแสดงในแผนภาพ(movement diagram) และรูปแบบการขยับข้อต่อที่เหมาะสม
ผศ.ดร.อดิษฐ์ จิรเดชนันท์
กภ.ศิริลักษณ์ จังรุ่งสกุล
นักกายภาพบำบัดอาวุโส คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
รักษาโดยใช้เทคนิคเฉพาะทางของออสเตรเลีย
ร่วมกับเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ทันสมัย แก้ปัญหาตรงจุด
สัมภาษณ์สด ออกอากาศ รายการ Bangkok City Channel
ทางทรูวิชั่นส์
ทางทรูวิชั่นส์ช่อง 76 เวลา 10.00-11.00 น.
ประโยชน์ของการกายภาพบำบัดสำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บ ปวด ตึง ชา ร้าว
ซึ่งทั้งเทคนิคการกดขยับข้อต่อ และการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด
เป้นประโยชน์อย่างมากในการฟื้นฟูและรักษาอาการข้างต้น
ผศ.ดร.อดิษฐ์ จิรเดชนันท์
กภ.ศิริลักษณ์ จังรุ่งสกุล
นักกายภาพบำบัดอาวุโส คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
รักษาโดยใช้เทคนิคเฉพาะทางของออสเตรเลีย
ร่วมกับเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ทันสมัย แก้ปัญหาตรงจุด
คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง ได้รับเรียนเชิญร่วมงาน |
Assessment and primary treatment | |
visited our booth. |
ผศ.ดร.อดิษฐ์ จิรเดชนันท์
กพ.ศิริลักษณ์ จังรุ่งสกุล
อาจารย์กายภาพบำบัด / นักกายภาพบำบัดอาวุโส คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
รักษาโดยใช้เทคนิคเฉพาะทางของออสเตรเลีย
ร่วมกับเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน
คุณกำลังทรงท่าไม่เหมาะสมหรือเปล่า ??
คลินิกออกพื้นที่เพื่อไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ออฟฟิศซินโดรม
การป้องกัน และดูแลผู้มีอาการปวดจาก Office Syndrome
เมื่อได้มาออกพื้นที่ พบว่า หลายคนมีความตึงตัว ปวดคอ บ่า ไหล่และหลัง จึงให้ข้อมูลการรักษาทางกายภาพบำบัดแก่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวซีพี
นอกจากสาระน่ารู้ในการดำรงท่าทางในการทำงานในที่ทำงานแล้ว เรายังมีเกมส์สนุกๆ มาให้ร่วมเล่น ทำบรรยากาศสนุกสนานและเป็นกันเอง
ขอบคุณทุกท่านที่มาสอบถามอาการต่างๆ การดูแลตนเอง และผู้ที่เคยมารักษากับเราก็ได้เข้ามาทักทาย จากเหนื่อยก็รู้สึกสดชื่น อบอุ่นขึ้นมาทันที
ผศ.ดร.อดิษฐ์ จิรเดชนันท์
กพ.ศิริลักษณ์ จังรุ่งสกุล
นักกายภาพบำบัดอาวุโส คลินิกกายภาพบำบัดศาลาแดง
รักษาโดยใช้เทคนิคเฉพาะทางของออสเตรเลีย
ร่วมกับเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ทันสมัย แก้ปัญหาตรงจุด
“ถ้าเจ็บ ก็แปลว่าสายไปแล้ว”
แบ่งปันประสบการณ์การบาดเจ็บจากการใช้ซ้ำๆ
เวลาส่วนมากในการเรียนดนตรีนั้นคือเวลาที่ซ้อมด้วยตัวเอง และบ่อยครั้งที่จะเกร็งโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะเมื่อต้องซ้อมเพลงหรือแบบฝึกหัดที่ยากๆ และยิ่งเล่นไม่ได้ ก็จะซ้อมซ้ำๆ จึงอาจทำให้
กล้ามเนื้อสะสมอาการเกร็งเอาไว้………….
อาการปวดเมื่อย คือ สัญญาณเตือนจากร่างกาย สิ่งที่ควรทำคือหยุดแล้วทบทวนว่าผิดตรงไหน
ถ้ายังขืนตะบี้ตะบันซ้อม สิ่งที่ตามมาอาจเป็นอาการเจ็บเรื้อรังได้และตามที่โปรเฟสเซอร์คนนั้นกล่าวถึง
เมื่อต้นเอนทรี่ ก็คือ ถ้าร่างกายแสดงอาการเจ็บนั้นก็แปลว่ามันสะสมมาจนถึงจุดหนึ่งแล้ว
แปลว่าเราสักแต่ซ้อม ไม่ได้สนใจคิดถึงร่างกายเลย และนั่นก็ “สายเสียแล้ว”
บทความจาก Blog Piano Corner
ขอขอบคุณผู้นำประสบการณ์ตรงมาเป็นอุทาหรณ์ กรณีจำเป็นต้องใช้ร่างกายในท่าซ้ำๆ
เป็นเวลานานๆ ทำให้ต้องได้รับความเจ็บปวดได้
กายภาพบำบัดศาลาแดง
รักษาโดยใช้เทคนิคเฉพาะทางของออสเตรเลีย
ร่วมกับเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ทันสมัย แก้ปัญหาตรงจุด